คนไทยเตรียมเฮ การผลิตวัคซีนโควิด 19 ไทยคืบหน้า

คนไทยเตรียมเฮ การผลิตวัคซีนโควิด 19 ไทยคืบหน้า

ข่าวจากกระทรวงสาธารณสุขรายงาน วานนี้ (24 พ.ค. 63) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ความก้าวหน้าวัคซีนโควิด-19 โดยนายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าการพัฒนาวิจัยวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด 19 ว่า ประเทศไทยภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการทำวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ประกอบด้วย กระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม, สถาบันการศึกษาอีกหลายแห่ง รวมทั้งไบโอเทค สวทช. และบริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด ขณะนี้มีความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญ

โดยเฉพาะคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

ได้ผลการวิจัยในรูปแบบวัคซีน mRNA ประสบความสำเร็จในการทดลองในหนูและเริ่มทดลองในลิง ขณะที่นานาชาติมีการวิจัยวัคซีนอีก 114 ชนิด ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการทดลองในสัตว์ทดลอง และมีวัคซีนอีก 10 ชนิด ที่มีการทดลองในคน ประเทศที่มีความก้าวหน้าอย่างมากในเวลานี้ ได้แก่ จีน สหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมัน และออสเตรเลียทั้งนี้ การจะผลิตวัคซีนป้องกันโควิด 19ให้คนไทยเข้าถึง ต้องนำศักยภาพของแต่ละหน่วยงานมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศรวมทั้งการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานวิจัยและผู้ผลิตทั้งในและนอกประเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์ร่วมด้วย ถ้าได้ผลการวิจัยออกมาดีและเป็นไปตามแผน คาดว่าจะได้วัคซีนที่ดีและเหมาะสมกับคนไทยและผลิตในเชิงอุตสาหกรรมได้ ภายในเวลา 12-18 เดือน

ขณะที่ศาสตราจารย์ นายแพทย์เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการโครงการวิจัยวัคซีนโควิด 19 ของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การเตรียมวัคซีนให้กับประชากรโลกนั้น หากมีประเทศใดที่ผลิตได้สำเร็จ แน่นอนว่าต้องให้ประชากรของประเทศตัวเองก่อน ตอนนี้มีจีนและสหรัฐฯที่มี่ความก้าวหน้าไปมาก 2 ประเทศนี้ประชากรรวมกันประมาณ 1.8 พันล้านคน แค่ผลิตเพียงครึ่งเดียวอาจมากถึง 800-900 ล้านโด๊ส กว่าจะส่งให้ประเทศอื่นจึงต้องรอเวลา

สำหรับประเทศไทยมีนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย ที่มีความสามารถสูง มีความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเพลซิวาเนียที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีล่าสุด และการได้เห็นตัวอย่างของเทคโนโลยีการวิจัยจากประเทศต่าง ๆ ที่ประสบความสำเร็จ จึงมั่นใจว่าเราจะวิจัยและพัฒนาวัคซีนได้ไม่ช้าไปกว่าประเทศอื่น ๆ มากนัก และอยู่ในกรอบเวลาที่ประมาณ 1 ปี หรือ 1 ปีครึ่ง ขณะนี้จึงได้ประสานโรงงานขนาดเล็กเพื่อผลิตวัคซีนที่ได้มาตรฐานสำหรับการวิจัยในคนเอาไว้แล้ว พร้อมกับการเจรจาเพื่อการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบริษัทวัคซีนในประเทศไทยหากผลการทดสอบวัคซีนในแต่ละขั้นตอนประสบความสำเร็จ

ส่วนนายวิฑูรย์ วงศ์หาญกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด กล่าวว่า เทคโนโลยีการผลิตวัคซีนของบริษัทฯ มีประสบการณ์ มีนักวิจัยที่มีความสามารถและมีความพร้อมที่จะรองรับการผลิตวัคซีนโควิด19 ในระดับอุตสาหกรรมได้หลากหลายรูปแบบตามผลสำเร็จของการวิจัย และพร้อมทำความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศเพื่อการถ่ายทอดเทคโนโลยี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลการวิจัยว่าจะได้วัคซีนตัวไหนที่ดีและเหมาะสมที่สุด ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่าขณะนี้บริษัทสามารถดำเนินการการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ขึ้นมาได้เองได้อย่างรวดเร็วกว่าวัคซีนปกติทั่วไป และเริ่มทำการทดสอบในหนูไปแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการรอผล อีกทั้งยังมีความร่วมมือกับหลายหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนเพื่อวางแผนความร่วมมือกันถือว่าระบบการผลิตเรามีความพร้อมที่จะสามารถขยายกำลังการผลิตได้เพิ่มขึ้นสำหรับวัคซีนที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าสามารถป้องกันโรคได้ให้เพียงพอต่อความต้องการของประเทศไทยได้เมื่อถึงเวลานั้น

WHO กลับลำ! ยอมรับ โควิด ติดทางอากาศได้

โควิด-19 – กลายเป็นที่สนใจเมื่อ นพ.มนูญ ลีเชวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก “หมอมนูญ ลีเชวงศ์ FC” ถึงกรณีที่องค์การอนามัยโลกออกมายอมรับว่าโรคโควิด-19 ติดต่อผ่านอากาศได้

ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ไปทั่วโลก คนเริ่มขาดความมั่นใจในคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่ล่าช้า และกลับไปกลับมา จากเดิมที่เคยบอกว่าไม่มีหลักฐานยืนยันมากพอว่า หน้ากากอนามัยช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มาเป็นทุกคนควรใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเวลาออกไปในที่สาธารณะ จากเดิมคนที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ถ้าไม่มีอาการ โอกาสแพร่เชื้อให้ผู้อื่นน้อยมาก เปลี่ยนมาเป็นคนไม่มีอาการก็แพร่เชื้อได้

เนื่องจากองค์การอนามัยโลก ยังยืนยันต่อเนื่องว่าโรคไวรัสโควิด-19 แพร่กระจายได้แค่ 2 วิธี คือโดยหายใจรับเชื้อในละอองขนาดใหญ่ (droplet) ที่คนป่วยขับออกมาเวลาพูด ไอ จามในระยะใกล้ชิด 1 เมตรเข้าร่างกายโดยตรง และผ่านละอองใหญ่ที่มีเชื้อไวรัสตกลงบนพื้นผิวเวลาผู้ป่วยพูด ไอ จาม คนอื่นไปสัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสแล้วเอามือไปจับตา จับจมูก

องค์การอนามัยโลกให้ความสําคัญกับการติดเชื้อทางมือจากพื้นผิวมากกว่าการหายใจเอาละอองน้ำลายเข้าโดยตรง เน้นให้ทำความสะอาดพื้นผิวที่มีการสัมผัสบ่อยๆ และล้างมือบ่อยๆ ขฌะที่ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งชาติของสหรัฐฯ (CDC) ได้ลดความสำคัญของการติดต่อทางสัมผัส ว่าสำคัญน้อยกว่าการติดต่อทางการขับละอองเสมหะออกมาโดยตรงเวลาพูด ตะโกน ร้องเพลง ไอ จาม

สำหรับละอองฝอยขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน (droplet nuclei หรือ aerosol) แพร่ทางอากาศ (airborne) ลอยไปได้ไกลกว่า 8 เมตร ตามทิศทางของลม องค์การอนามัยโลกเชื่อว่าเกิดน้อยมาก เกิดในกรณืพิเศษในโรงพยาบาลเท่านั้น เมื่อบุคลากรทางการแพทย์ทำหัตถการกระตุ้นให้ผู้ป่วยไอ เช่นเวลาดูดเสมหะ หรือใส่ท่อหายใจ

Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป